ภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่ร่างกายมีโอกาสจะได้รับอยู่ตลอดเวลา ทั้งเชื้อจุลินทรีย์ ที่มีทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อราต่างๆ และสารเคมีที่เจือปน อยู่ในอากาศ อาหาร น้ำ ยารักษาโรค ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ฯลฯ นอกจากกลไกในการกำจัดหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมในระดับพื้นๆ เช่น ผิวหนัง สารคัดหลั่งต่างๆที่ช่วยขับทั้งสารพิษและสารเคมีต่างๆออกจากร่างกายได้โดยปกติแล้ว ร่างกายยังมีกลไกที่จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยเซลล์พิเศษที่เรียกว่า ฟาโกไซต์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งทำหน้าที่คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยระบบภูมิคุ้มกัน หรืออิมมูนิตี้ (Immunity)
คำตอบง่ายๆก็คือ เพราะแต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ย่อมที่จะแข็งแรงกว่าคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีน้อยกว่า หรือไม่ค่อยจะดีนัก
ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั้น นอกจากจะสร้างได้จากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ อาหารลดน้ำตาล ไขมัน คอเลสเทอรอล ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงแล้ว หลายคนยังอาจต้องมีพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตที่พิเศษกว่าคนทั่วๆไป ยิ่งในปัจจุบัน ที่ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดูเหมือนจะซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนเรามีความเสี่ยงต่อการที่จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ย่ำแย่มากกว่าในยุคอดีต
การปนเปื้อนของสารเคมี ยาฆ่าแมลงในอาหาร การที่อากาศถูกทำลายจากภาวะมลพิษ การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบจนทำให้พฤติกรรมสุขภาพแปรปรวน ล้วนเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยง่ายที่มาจากระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ คือ การกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค ไวรัสหรือสารพิษต่างๆ ทำงานได้น้อยลงหรือต่ำลง
นอกจากอาหารที่เชื่อว่าช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม สังกะสี ที่มีผลต่อการเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆในระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ล่าสุด อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหาร ขึ้นทะเบียนวิชาชีพ สหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีงาน วิจัยยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการกินอาหารเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ที่พูดถึงเห็ดบางชนิดในทางการแพทย์ เช่น ไมตาเกะ ยามาบูชิตาเกะ มัตสึตาเกะ ชิตาเกะ ว่า สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ถึงระดับเม็ดเลือดขาว เนื่องจากเห็ดเหล่านี้มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการกำจัดไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้
“ไม่ใช่เพียงประเทศเดียวที่พบคุณสมบัติดังกล่าว แต่การวิจัยเรื่องเห็ดทางการแพทย์ได้รับการยอมรับตรงกันในระดับนานาชาติ มีงานวิจัยหลากหลายฉบับ ทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลี ยืนยันตรงกันถึงประโยชน์ของเห็ดเหล่านี้ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ที่ลงลึกไปจนถึงระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว” อ.ศัลยาบอกพร้อมกับยกตัวอย่างงานวิจัยของ Xu et al.1994; Khan et al. 2013 ที่พบว่าเห็ดยามาบูชิตาเกะมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้ ขณะที่ Lull et al ทำการวิจัยเมื่อปี 2005 พบว่าสารสกัดจากเห็ดหลินจือและเห็ดไมตาเกะ มีผลทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแม็คโครฟาจ ผลิตไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ สหรัฐอเมริกา ยังบอกด้วยว่า Vetvic– ka and Vetvickova ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในปี ค.ศ.2014 ระบุว่า การรับประทานสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะร่วมกับสารสกัดจากเห็ดชิตาเกะ ให้ผลในการกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการรับประทานเห็ดทางการแพทย์เพียงชนิดเดียว นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยบางฉบับระบุถึงประโยชน์อื่นๆด้วย เช่น มีผลช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับไขมันในเลือด มีผลดีต่อหัวใจและหลอดเลือด และมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด อย่างไรก็ตาม เห็ดทางการแพทย์เป็นเห็ดที่ค่อนข้างหายากและมีราคาสูง อาจไม่สามารถหามาบริโภคได้ ปัจจุบันจึงมีการนำวิทยาการสมัยใหม่สกัดสารสำคัญจากเห็ดเหล่านี้ออกมาด้วยไอน้ำภายใต้ อุณหภูมิและความดันที่เหมาะสม ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ซึ่งการที่จะมีสุขภาพดีนอกจากการรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการนอนไม่พอมีผลลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน งานวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่ากว่า 50% ของคนกลุ่มนี้สามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่ นอนหลับคืนละ 4 ชม. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆลดลง และควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าหากทำได้เช่นนี้ โอกาสที่จะเจ็บป่วยก็จะลดน้อยลงและยังมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นด้วย.
ขอบคุณที่มา https://www.thairath.co.th