มะเร็งลำไส้ใหญ่-ทวารหนัก

ถ่ายเป็นเลือด เสี่ยงโรคไหน! “ริดสีดวง” หรือ “มะเร็งลำไส้”

Views

หากขับถ่ายแล้วมีเลือดออก หลายคนมักคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงทวาร ไม่ทันคาดคิดว่าอาจเป็นสัญญาณเตือนของเนื้องอกหรือโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทั้งที่บางอาการอาจมีความคล้ายคลึงกัน

ศ.(พิเศษ) นพ.อัฑฒ์ หิรัณยากาศ ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ผู้อำนวยการคลินิกศัลยกรรมลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ศูนย์ศัลยกรรม รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อคนไข้สังเกตว่า มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ส่วนใหญ่อาจคิดเอาเองว่าเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งริดสีดวงทวารหนักคือ กลุ่มของหลอดเลือดบริเวณทวารหนักที่มีลักษณะโป่งพอง

โดยปกติ ริดสีดวงทวารหนัก จัดเป็นอวัยวะอันหนึ่งของร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ ริดสีดวงทวารหนักภายใน (internal hemorrhoid) ตามปกติจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นและคลำไม่ได้และมักจะถูกคลุมด้วยเยื่อลำไส้ใหญ่ตอนปลายสุดจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดในขณะที่ยังไม่มีอาการแทรกซ้อน

ส่วนริดสีดวงทวารหนักภายนอก (external hemorrhoid) จะเกิดบริเวณปากรอยย่นทวารหนัก จากการที่กลุ่มหลอดเลือดดำใต้ผิวหนังปากทวารหนักโป่งพอง สามารถมองเห็นและคลำได้ อาจมีอาการเจ็บปวด

อาการของโรค อาจพบได้ตั้งแต่ รู้สึกไม่สุขสบายบริเวณทวารหนัก คลำได้ก้อน อาการปวด อาการคัน หรืออาจมีเลือดสดติดกระดาษชำระขณะเช็ดทำความสะอาด พบเลือดในโถส้วม หรือปนออกมากับอุจจาระ

แต่สำหรับมะเร็งลำไส้ตรงหรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (rectal cancer) คือมะเร็งที่เกิดบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ใกล้กับทวารหนัก พบได้บ่อยทั้งในเพศชายและหญิง กลุ่มเสี่ยงที่สำคัญคือ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคอาจแสดงอาการได้หลายแบบ เช่น ถ่ายมีเลือดสดปนกับอุจจาระ หากเป็นมากอาจมีก้อนอุจจาระขนาดเล็กลง ท้องผูก รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด อาจมีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย ปวดท้องน้อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ซึ่งอาการแสดงขึ้นอยู่กับขนาดของก้อน และตำแหน่งของก้อนมะเร็งที่พบ

อาการของริดสีดวงทวารที่แตกต่างจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายคือ ถ่ายเป็นเลือด อาจคลำได้ก้อนเนื้อในรูทวารหนัก อาจมีก้อนเนื้อปลิ้นและยุบกลับเข้าไปทวารหนักได้ (มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายจะไม่มีก้อนเนื้อปลิ้นออกมา) อาจปวดก้น (มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายจะไม่มีอาการปวดก้น) ถ่ายไม่ค่อยออก ต้องเบ่ง หรือถ่ายบ่อย คันหรือระคายเคืองรอบปากทวารหนัก เจ็บ เป็นต้น

การรักษาโรคริดสีดวงขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค มี 2 วิธีหลักใหญ่ๆ ได้แก่ 1.ผ่าตัด และ 2.ไม่ผ่าตัด แต่กรณีที่แพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย การส่องกล้องลำไส้ใหญ่จะช่วยแยกโรคให้ชัดเจนขึ้นเพื่อนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม หากเป็นวิธีรักษาแบบเดิม แพทย์อาจต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดออกไปด้วยเพื่อให้สามารถตัดก้อนออกได้หมด ซึ่งจะทำให้คนไข้ต้องขับถ่ายผ่านถุงทางหน้าท้องไปตลอดชีวิต

แต่ด้วยความก้าวหน้าเทคโนโลยีและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ชำนาญการ ปัจจุบันมีการผ่าตัดรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ด้วยเทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้องรักษาเนื้องอกหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย แบบเก็บกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก (Sphincter Saving Surgery) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ต้องขับถ่ายผ่านทางถุงหน้าท้องไปตลอดชีวิต

พญ. พนิดา ทองอุทัยศรี แพทย์ด้านอายุรกรรมระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ รพ. กรุงเทพ กล่าวว่า หากคนไข้ถ่ายเป็นเลือด หรือมีอาการผิดปกติที่ช่องท้อง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อาทิ มีแผลที่ทวารหนักในผู้ป่วยท้องผูก โรคถุงผนังลำไส้ หรือมีหลอดเลือดที่ผนังลำไส้ผิดปกติ ฯลฯ ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยๆ อาทิ พันธุกรรม อายุที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่า 45-50 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วน ชอบทานอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยลำไส้ใหญ่

แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตรวจเลือด และตรวจรายการอื่นเพิ่มเติม อาทิ ตรวจสวนแป้งลำไส้ใหญ่ ตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเทคนิคภาพเสมือน (CT Colonoscopy) ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) และตรวจดูระดับของคาร์ซิโนเอมบริโอนิก แอนติเจน (Carcinoembryonic AntigenหรือCEA) เพื่อบอกพยากรณ์โรคและใช้ติดตามการรักษา หากแพทย์สงสัยจะส่งพิสูจน์โรคจากการตัดชิ้นเนื้อ และประมาณระยะของโรคทางคลินิกด้วยภาพถ่ายรังสีเป็นขั้นตอนการประเมินโรคในเบื้องต้นที่มีความสำคัญ

ทั้งนี้ การประมวลผลการตรวจ และการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์สหสาขา จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดและมีคุณภาพชีวิตที่ดี กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในที่สุด

ขอบคุณที่มา สยามรัฐ