สุขภาพทั่วไป

โรคหลอดเลือดสมองตีบ แตก ตัน ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสรอด

Brain bomb isolated on white background
Views

จากสถิติการเสียชีวิตด้วยโรคร้ายในประเทศไทยพบว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจ   เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางระบบประสาท ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต หรือไม่ก็เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต แนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี

รู้จักโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้สมองขาดเลือดและเนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย  สามารถเกิดได้กับทุกส่วนของสมอง ดังนั้นหากสมองส่วนใดขาดเลือด  จะส่งผลให้ร่างกายหยุดทำงาน เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต โรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 2 ประเภท  ได้แก่

  1. โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke) หรือจากการอุดตัน (Embolic Stroke) ส่งผลให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด พบมากถึง 80% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด
  2. โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองปริแตกหรือฉีกขาด ทำให้มีเลือดไหลไปยังเนื้อเยื่อสมอง แม้จะพบเพียง 20% แต่ก็มีอันตรายถึงชีวิต

ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง มีทั้งปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้

1. ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

  • อายุ  ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี  มีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากภาวะเสื่อมของหลอดเลือดและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว
  • เพศ   เพศชาย มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าเพศหญิง
  • กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคในขณะที่มีอายุยังน้อย

2. ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ เกิดจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิต

อาการโรคหลอดเลือดสมอง

  • ภาวะอ่อนแรง  ส่วนใหญ่มักพบภาวะอ่อนแรงครึ่งซีกกับร่างกายข้างใดข้างหนึ่ง
  • สูญเสียความรู้สึกหรืออาการชาตามร่างกาย  มักเกิดกับร่างกายเพียงด้านเดียว
  • พูดติดขัด มีปัญหาการพูด
  • ไม่สามารถทรงตัวได้ มีอาการเดินเซ หรือเวียนศีรษะ
  • สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือเห็นภาพซ้อน

โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน  บางกรณีอาจเกิดภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว โดยแสดงอาการเพียงครั้งคราวแล้วหายไปเอง หรืออาจเกิดบ่อยๆ ก่อนมีอาการสมองขาดเลือดแบบถาวร

FAST วิธีสังเกตอาการของโรคหลอดเลือดสมอง 

อาการเตือนสำคัญที่สังเกตได้ด้วยตนเองตามหลักที่จำได้ง่ายคือ F A S T ดังนี้

F Face        ใบหน้ามีอาการชาหรืออ่อนแรง  ใบหน้ายิ้มแล้วมุมปากตก

A Arm        แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกแขนไม่ขึ้น

S Speech   พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว

T Time       หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

สัญญาณเตือน FAST ถือเป็นสิ่งจำเป็นพึงจดจำ หากพบอาการหนึ่งอาการใดข้างต้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากเซลล์สมองขาดเลือดเพียง 1 นาที ส่งผลให้เซลล์สมองตายมากถึง 2 ล้านเซลล์ ดังนั้นการเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต รวมถึงการเสียชีวิตได้

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว Treating a Transient Ischemic Attack (TIA)  

หากอาการต่างๆ ที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นและหายไปเพียงไม่กี่นาที  อาจเกิดจากภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองที่ร้ายแรงในภายหลังหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์

ดังนั้นไม่ควรเพิกเฉยหรือมองข้ามภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวเด็ดขาด แม้อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือหายไปเอง  ควรต้องพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยทันที

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง 

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิต  ดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนัก ไม่ปล่อยให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมากมาย รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ที่มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง รวมถึงอาหารรสเค็มจัด  สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองให้มากขึ้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนัก ช่วยให้ไขมันในเลือดและความดันโลหิตลดลงได้ โดยควรออกกำลังกายที่เหมาะสมสม่ำเสมออย่างน้อย สัปดาห์ละ 150 นาที
  • เลิกบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หากไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเองการพบแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
  • ลดปริมาณแอลกอฮอล์ โดยผู้ชายไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว และผู้หญิงไม่เกินวันละ 1 แก้ว
  • ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน โดยการพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
  • ไม่ละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาโรคที่อาจซ่อนเร้นในร่างกาย หากพบก่อนย่อมมีทางรักษาให้หายขาดหรือสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง

  • ซักประวัติและตรวจร่างกาย
  • ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain) เพื่อดูว่าภาวะสมองขาดเลือดหรือตรวจว่ามีเลือดออกในสมองหรือไม่
  • ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI brain) สามารถเห็นภาพสมองส่วนขาดเลือด ซึ่งสำคัญมากต่อการเลือกวิธีการรักษาต่อไป
  • ฉีดสารทึบรังสี (Cerebral angiography) เพื่อตรวจหลอดเลือดสมอง โดยการสอดใส่สายสวนหลอดเลือดแดงเข้าทางขาหนีบไปยังหลอดเลือดคอ จากนั้นฉีดสารทึบรังสี เพื่อดูการอุดตันของหลอดเลือดสมอง
  • ตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) การเจาะน้ำไขสันหลังด้วยเข็มชนิดพิเศษ บริเวณกระดูกสันหลังช่วงเอว เพื่อวินิจฉัยภาวะเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มสมอง
  • อัลตราซาวนด์หลอดเลือด (Ultrasonography) โดยการอัลตราซาวนด์หลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอและสมอง เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือด

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง  

  • การรักษาด้วยยา ใช้รักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นโรคหลอดเลือดสมองอีก  โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด  เพื่อช่วยละลายลิ่มเลือดที่อุดตัน เลือดจะได้ไหลเวียนสะดวกขึ้น หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว  อาจสามารถกลับมาเป็นปกติได้
  • การผ่าตัด เพื่อนำไขมันอุดตันในหลอดเลือดคอที่ไปเลี้ยงสมองออก (Carotid endarterectomy) เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด ซึ่งเกิดจากไขมันในเส้นเลือดที่ทำให้หลอดเลือดแดงบริเวณคอตีบแคบ จนไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงสมอง

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง พบแพทย์เพื่อตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี รวมถึงการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะสัญญาณเตือน FAST  ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสรอด