สุขภาพเด็ก

รู้จักโรค “ไอพีดี” (IPD) โรคติดเชื้อในเด็กที่เสี่ยงพิการ-เสียชีวิตได้

Views

กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี  เผยโรคไอพีดี (IPD) ในเด็กป้องกันได้ พ่อแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจพาลูกฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี


โรคไอพีดี คืออะไร?

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไอพีดีเป็นโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงในเด็ก สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า นิวโมคอคคัส ที่อาศัยอยู่ในโพรงจมูกและคอ ซึ่งสามารถติดต่อซึ่งกันและกันโดยผ่านการไอ จามหรือสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง เหมือนกับการแพร่เชื้อไข้หวัดธรรมดา แต่ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัด ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุ 2 ปี ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้


อาการของโรคไอพีดี

อาการของโรคไอพีดีขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ติดเชื้อเช่นกัน ได้แก่ 

หากมีการติดเชื้อในระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีอาการดังนี้

  • มีไข้สูง 
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง 
  • คลื่นไส้อาเจียน 
  • คอแข็ง
  • ในเด็กทารกจะร้องงอแง 
  • ซึม 
  • ไม่กินนม
  • อาจชักได้ 
  • ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีอาจพิการ หูหนวก ปัญญาอ่อน เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเสียชีวิตได้ 


หากติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หูน้ำหนวก เด็กจะมีอาการดังนี้

  • มีไข้สูง 
  • บ่นปวดหู 
  • งอแง 
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงหรือสมอง หูน้ำหนวกเรื้อรัง แก้วหูทะลุ และการได้ยินบกพร่อง 
  • อาจมีผลต่อพัฒนาการด้านภาษาของเด็กด้วย 


หากติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนกลาง อาจมีอาการดังนี้

  • มีไข้ 
  • ไอ 
  • หายใจเร็ว หอบ 
  • ปอดอักเสบ
  • อาจรุนแรงถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และเสียชีวิตหากได้รับการรักษาล่าช้า


การรักษาโรคไอพีดี

นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาโรคไอพีดี ถ้าเป็นการติดเชื้อไม่รุนแรง เช่น คออักเสบ หูน้ำหนวก หรือไซนัสอักเสบสามารถรักษาโดยการรับประทานยา แต่ถ้าติดเชื้อแบบลุกลามต้องให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด 


วิธีป้องกันโรคไอพีดี

โรคไอพีดีสามารถป้องกันเบื้องต้นได้โดย 

  1. สอนให้เด็กล้างมือ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจาม 
  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่เป็นหวัดหรือป่วย 
  3. ควรให้ลูกกินนมแม่ เพื่อให้มีภูมิต้านทานจากแม่ไปสู่ลูกทางอ้อม 
  4. ฉีดวัคซีนซึ่งเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข,สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

ภาพ :iStock