อธิบดีกรมการแพทย์ เผย 5 สัญญาณเตือน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เสี่ยงเสียชีวิตได้ แนะหากพบควรรีบปรึกษาแพทย์ ปล่อยไว้อาจทำให้หัวใจวายตายได้…
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2560 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งในไทยพบว่าประมาณ 45% ของการเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นผลมาจากหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดอันตรายรุนแรงจากที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเกิดขึ้นได้ทั้ง ขณะทำงาน เล่นกีฬา หรือขณะพักผ่อน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและมีรอยปริของผนังหลอดเลือดทำให้มีลิ่มเลือดและไขมันมาเกาะที่ผนังและก่อตัวเป็นตะกรันเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้
- หนุ่มใหญ่สุดงง นอนใต้ถุนบ้าน ถูกย่องฟันหัวเลือดสาด เผยไม่รู้เป็นใคร
- สัตวแพทย์เลือดร้อน กะซวก “ทนายความ” ดับ ยื่น 2 แสนบาทประกันตัว
- แปลงแต่ตัวไม่แปลงหัวใจ! SUZUKI JIMNY PICKUP กระบะเล็กสุดน่ารัก!
สำหรับอาการและสัญญาเตือนของโรคมี 5 อาการ ได้แก่ 1.ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง 2.มีเหงื่อออก 3.ปวดร้าวไปกรามสะบักหลังแขนซ้าย 3.หอบเหนื่อย 4.ใจสั่น และ 5.จุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน เมื่อเกิดภาวะเหล่านี้ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจากข้อมูลของไทยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มาเข้ารับการรักษาล่าช้าทำให้เสียชีวิตหรือมีภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา
พญ.วิพรรณ สังคหะพงศ์ ผอ.สถาบันโรคทรวงอก กล่าวว่า แนวทางการวินิจฉัยของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แพทย์จะซักประวัติ อาการ และทำตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจหากพบว่ามีอาการเข้าได้กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ แพทย์จะรีบทำการรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วยให้ปลอดภัย ด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนใส่ขดลวดค้ำยัน
ผอ.สถาบันโรคทรวงอก กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ การป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยต้องรู้จักดูแลตนเองไม่ให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง ควบคุมน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต ควบคุมไขมันในเลือด งดสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผัก และผลไม้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ.
ขอขอบคุณ