การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ 🙂
การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ สามารถตรวจวัดได้จากเลือด นั่นก็คือตรวจวัด แอนติบอดี (antibodies) และ แอนติเจน (antigens) พออ่านมาแล้วก็สะดุด แอนติบอดี ? แอนติเจน ? คืออะไรหนอ
ขอเล่าพอคร่าวๆ ให้เข้าใจนะคะ แอนติเจน นั่นก็คือ สิ่งแปลกปลอมหรือจุลชีพ อย่างเช่น แบคทีเรีย รา ปริสิต ไวรัส หรือสารเคมีแปลกปลอมใดๆที่สามารถกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรานั้นทำงานได้
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร เมื่อเราได้รับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ที่เรียกว่า “แอนติเจน” ระบบภูมิคุ้มกันก็จะสร้างแอนติบอดี ที่จำเพาะต่อแอนติเจนนั้นๆ เพื่อพยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกายเรา เพราะฉะนั้นการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ (ไวรัสก็คือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายเรานั่นเอง) จึงสามารถตรวจหาแอนติเจน หรือแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัสนั้นๆได้
เริ่มต้นด้วย “เพรชฆาตเงียบ” ตัวการร้ายทำลายตับตัวแรก ของเรากันก่อนเลย…”ไวรัสตับอักเสบ บี”!!!
คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือไม่?????
อยากรู้ มาดูกันค่ะว่าตรวจคัดกรองอะไรบ้าง
1. Hepatitis B surface antigen (HBsAg) หรือเรียกง่ายๆว่า “เอส” แอนติเจน ถ้าให้ผลเป็น บวก แสดงว่าตอนนี้คุณกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมักจะตรวจพบ หลังจากได้รับการติดเชื้อมาเป็นระยะเวลา 4-10 สัปดาห์ และหาก 6 เดือนต่อจากนี้ ตรวจใหม่ก็ยังพบ “เอส” แอนติเจน แสดงว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกไปได้ กลายเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรังแล้ว!!!
2. Hepatitis B e Antigen (HBeAg) หรือเรียกง่ายๆว่า “อี” แอนติเจน ถ้าให้ผลเป็น บวก แสดงว่ามีปริมาณไวรัสมากกว่า ผลที่เป็น อี ลบ และยังพบว่า อี บวก รักษาง่ายกว่า อี ลบ อีกด้วย
3. Anti-HBs หรือเรียกง่ายๆว่า “แอนติ เอส” คือการตรวจว่ามีภูมิต้านทานของไวรัสบีหรือไม่ ถ้าให้ผลเป็นบวก แสดงว่าท่านมีภูมิต้านทานต่อไวรัสบีจากการได้รับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อและหายจากโรคแล้ว
4. Anti-HBc หรือเรียกง่ายๆว่า “แอนติ คอร์” ถ้าให้ผลเป็น บวก แสดงว่า คุณเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน
นอกจากนี้ ควรตรวจวัดปริมาณไวรัสตับอักเสบบี ในเลือด เพื่อให้ทราบถึงระดับของไวรัสว่ามีมากหรือน้อย หรือเรียกว่า HBV viral load
มาต่อกันด้วย ตัวการร้ายทำลายตับ ตัวที่สอง นั่นก็คือ “ไวรัสตับอักเสบ ซี”!!!
การตรวจคัดกรอง ไวรัสตับอักเสบซี ไม่มีอะไรยุ่งยากเช่นกัน
1. Anti-HCV คือการตรวจภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบซี ภูมิต้านทานนี้ไม่เหมือนกับภูมิต้านทานของไวรัสตับอักเสบบี แต่เป็นภูมิต้านทานของร่างกายเราเอง ที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อ และเมื่อให้ผล บวก ต้องมีการตรวจปริมาณของไวรัสต่อดังข้อ 2
2. ตรวจปริมาณไวรัสตับอักเสบซี (HCV viral load) คือการวัดระดับของไวรัสในเลือดว่ามีมากหรือน้อยเพียงใดนั่นเอง
หากตรวจวัดระดับของไวรัสตับอักเสบซีได้อยู่ หลังติดเชื้อมาอย่างน้อย 6 เดือน นั่นก็แสดงถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งไวรัสตับอักเสบบี และซี จำเป็นต้องตรวจการทำงานของตับ (Liver function test) คือ AST และ ALT ร่วมด้วย เพื่อประเมินการทำงานของตับในขณะนั้น ซึ่ง ดร.พิทักษ์ตับ ได้เคย นำเสนอไว้แล้วก่อนหน้านี้
เครดิต: http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK92029/
#เล่าข่าวสบายสไตล์ดรพิทักษ์ตับ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/LiverCU/