จากภาวะการระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกก็กำลังเผชิญกับวิกฤติการระบาดของโรคนี้อยู่ โดยเฉพาะประเทศไทย ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกๆวัน Hello คุณหมอ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์โดยตรงกับ คุณเพียงใจ บุญสุข เจ้าหน้าที่ชำนาญการด้านภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินและการดื้อยาต้านจุลชีพ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ถึงแนวทางการดูแลตนเองและรับมือกับโรคโควิด-19 โดยคุณเพียงใจ บุญสุข ได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ โรคโควิด-19 และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับหลัก Social Distancing ไว้ดังนี้
โรคโควิด-19 คืออะไร
โรคโควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่นี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมปี 2562 ที่ผ่านมา ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ต่อมาได้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างในมณฑลหูเป่ยประเทศจีน และระบาดไปทั่วโลก ทางองค์การอนามัยโลกจึงได้ตั้งชื่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า “โรคโควิด-19”
โรคโควิด-19 ติดต่อผ่านทางไหนได้บ้าง
โรคโควิด-19 สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ผ่านการไอ จามของผู้ที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ที่ติดเชื้อ
สมมุติว่ามีผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีการไอหรือจาม ละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จะสามารถฟุ้งกระจายไปได้ไกลในรัศมีถึง 1 เมตร เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่อยู่ในรัศมี 1 เมตร ก็จะสามารถรับละอองน้ำมูก น้ำลายนั้นไปโดยตรง แล้วก็เข้าไปในร่างกายและเกิดการติดเชื้อได้
หรืออีกกรณีหนึ่ง ในกรณีที่ผู้ป่วยเวลาไอ จาม และมีการไอจามที่ไม่ถูกวิธี เช่น ใช้มือปิดปากในการไอ จาม แล้วไม่ได้ล้างมือทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นเอามือไปสัมผัสสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟท์ เมื่อมีอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ป่วยเลย มาใช้สิ่งแวดล้อมเดียวกัน เอามือมาสัมผัสเก้าอี้ โต๊ะ ใช้มือบิดลูกบิดประตูที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด หรือไปกดปุ่มลิฟต์นั้น แล้วนำมือนั้นมาสัมผัสกับใบหน้าของตัวเอง โดยเฉพาะบริเวณดวงตา บริเวณของจมูกและปาก เชื้อก็จะสามารถเข้าสู่ร่างกายและเกิดการเจ็บป่วย ติดเชื้อโควิด-19 ได้
อาการของโรคโควิด-19 มีอาการแบบไหนบ้าง และโรคนี้มีความรุนแรงแค่ไหน
อาการของ โรคโควิด-19 มีได้หลายแบบ ตั้งแต่ไม่มีอาการใดๆ เลย มีอาการเพียงเล็กน้อย หรือว่ามีอาการค่อนข้างรุนแรง จนกระทั่งถึงขั้นเสียชีวิต อาการที่พบได้บ่อย เช่น มีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ไอ จาม มีเสมหะ บางคนมีอาการรุนแรงที่เป็นปอดอักเสบ และทำให้เกิดอาการหายใจลําบาก หายใจติดขัด
“จากข้อมูลล่าสุด เราพบว่ามีคนไข้ส่วนหนึ่งดังที่ได้แจ้งไปแล้วว่า ไม่แสดงอาการใดๆ เลย โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเด็กและวัยรุ่น แต่ในขณะเดียวกันประมาณ 80% ของผู้ป่วยจะมีอาการเพียงเล็กน้อย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาใดๆ เป็นพิเศษ ก็สามารถที่จะหายเองได้ แต่จะมีคนไข้ส่วนหนึ่งประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ อาจจะมีอาการรุนแรง เช่น มีอาการปอดอักเสบ มีภาวะหายใจติดขัด หายใจลำบาก ซึ่งอาการกลุ่มนี้มักจะพบในผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวต่างๆ เช่น โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจ สำหรับกลุ่มนี้ต้องมีความระวังเป็นพิเศษ”
หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อได้จริงหรือไม่? และถ้าหากได้ วิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องควรทำอย่างไร
“องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยสำหรับผู้ที่ป่วย หรือผู้ที่มีอาการของ โรคโควิด-19 เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย หรือบุคลากรทางการแพทย์ อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้หน้ากากอนามัยเป็นที่ต้องการ และก็ขาดแคลนทั่วโลก เพราะฉะนั้นเราแนะนำให้ใช้อย่างเหมาะสม และใช้สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ”
สำหรับวิธีการสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง สามารถทำได้ดังนี้
- ก่อนสวมหน้ากากอนามัย จะต้องล้างมือทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือเจลแอลกอฮอล์ให้เรียบร้อยก่อน
- ตรวจสอบโดยรอบก่อนสวมหน้ากากอนามัย ว่าหน้ากากอนามัยมีการชำรุดเสียหายหรือไม่ สภาพพร้อมใช้งานหรือเปล่า
- เมื่อสำรวจจะเห็นแถบเหล็กบางๆ ส่วนนั้นคือด้านบน
- หน้ากากอนามัยจะมีสีเขียวเข้มกับสีเขียวอ่อน หรืออาจจะเป็นสีอื่น ซึ่งแล้วแต่โรงงานที่ผลิต เวลาสวมให้สีเขียวเข้ม (หรือด้านสีเข้ม) อยู่ด้านนอก สีเขียวอ่อน (หรือด้านที่มีสีอ่อน) อยู่ด้านใน หรือปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากของผลิตภัณฑ์
- การสวมหน้ากากอนามัยให้ครอบหน้ากากอนามัยไปบนใบหน้า แล้วคล้องสายไปยังบริเวณหูทั้งสองข้าง
- ปรับบริเวณแถบเหล็กให้แนบไปกับบริเวณใบหน้า และปรับไม่ให้มีช่องว่างระหว่างใบหน้าและบริเวณคาง
- ระหว่างที่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่สัมผัสกับหน้ากากอนามัยด้านนอก ถ้าเกิดการสัมผัสจะต้องไปล้างมือทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือเจลแอลกอฮอล์
- ถ้าหน้ากากอนามัยเปียกชื้นจะต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันที
- หลังจากใช้งานเสร็จ ให้ถอดบริเวณสายคล้องหูทั้งสองข้างออก และทิ้งหน้ากากอนามัยลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด เสร็จแล้วจึงล้างมือทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือเจลแอลกอฮอล์อีกรอบ
สำหรับคำถามเรื่องหน้ากากอนามัยสามารถป้องกัน โรคโควิด-19 ได้หรือไม่ คุณเพียงใจให้คำตอบเอาไว้ว่า “สามารถป้องกันโรคได้ส่วนหนึ่งแต่ไม่ได้ทั้งหมด จำเป็นจะต้องใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย” ดังนี้
- หมั่นล้างมือทำความสะอาดอยู่เสมอ
- ไอ จาม ให้ถูกวิธี ในกรณีที่ไม่มีหน้ากากอนามัยหรือหาอุปกรณ์อะไรไม่ได้เลย ให้ใช้ข้อพับแขนด้านในสำหรับเวลาไอหรือจาม เพื่อปิดปากและจมูก หรือใช้กระดาษทิชชู่ในการปิดปากเวลาไอหรือจาม เสร็จแล้วทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด จากนั้นล้างมือ หรือล้างบริเวณข้อพับแขนด้านในให้เรียบร้อย
- หมั่นสังเกตอาการของตัวเองอยู่เสมอ
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว
- รักษาระยะห่างระหว่างบุคคลให้อยู่ในระยะ 1-2 เมตร เสมอ
- ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้ ไอ จาม มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรือมีความเสี่ยงของ โรคโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งไว้ ให้โทรปรึกษาที่ 1422 หรือเบอร์หมายเลขอื่นที่ทางรัฐบาลกำหนด เพื่อปรึกษาและหาข้อมูลเพิ่มเติม และรับการรักษาที่ถูกต้อง
เชื้อโควิด-19 สามารถอยู่ติดบนพื้นผิวได้นานแค่ไหน
มีหลายคนที่มีความกังวลว่าเชื้อของ โรคโควิด-19 อาจจะตกค้างหรือติดอยู่กับวัสดุและพื้นผิวต่างๆ จึงมีความกังวลว่าตนเองอาจจะได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสกับวัตถุต่างๆ ได้ ซึ่งในความกังวลข้อนี้ คุณเพียงใจได้ให้คำตอบไว้ว่า “ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ จะสามารถอยู่บนพื้นผิวได้หลายชั่วโมง หรืออยู่ได้หลายวัน ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของพื้นผิวสัมผัสและปริมาณ แต่ก็มีความเป็นได้น้อยมากที่ไวรัสจะยังคงมีชีวิตอยู่
ยกตัวอย่างเช่น กว่าที่พัสดุจะถูกส่งมายังผู้รับ พัสดุนั้นจะถูกส่งไปยังที่ต่างๆ และผ่านสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ก็มีโอกาสน้อยมากที่ไวรัสจะยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดว่าผู้รับพัสดุมีความกังวลในการรับพัสดุ และคิดว่าพัสดุอาจจะปนเปื้อน ก็อาจจะต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคก่อน ถ้าเป็นวัสดุบางประเภทก็อาจจะใช้แอลกอฮอล์ 70% ในการทำความสะอาดก่อนได้เลย หรือถ้าเป็นวัสดุเป็นกล่องก็อาจจะต้องทิ้งไปเลย ไม่นำกลับมาใช้อีก และหลังจากสัมผัสกับพัสดุแล้ว ก็ให้ล้างมือทำความสะอาดให้เรียบร้อย ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์”
ในตอนท้าย คุณเพียงใจ ได้ฝากคำแนะนำสำหรับการดูแลและระมัดระวังตนเองในช่วงการระบาดของ โรคโควิด-19 ด้วยหลักการดูแลตนเองง่ายๆ เรียกว่า 3 S ง่ายๆ ดังนี้
Social Distancing งดสังสรรค์ งดพบปะกัน รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตรเสมอ
Stay home ควรอยู่บ้านและไม่ออกจากบ้านหากไม่จำเป็น
Stay Safe ดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดภัย ระวังไม่ให้เจ็บป่วย
แม้การระบาดของ โรคโควิด-19 จะยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติทั่วทุกมุมโลก แต่สิ่งสำคัญคือทุกคนควรมีการดูแลตนเองให้ถูกวิธี ปฏิบัติตนตามหลัก Social Distancing ไม่เพิ่มเชื้อ และไม่แพร่เชื้อให้กับผู้อื่น เพื่อให้ประเทศชาติของเราสามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ เพื่อลูกหลาน เพื่อครอบครัว และเพื่อคนที่รักของเรา