“มะเร็งตับ” เป็นโรคที่มีความสำคัญที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลกและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดอีกโรค ซึ่งคร่าชีวิตคนไทยมานานแล้ว
นายแพทย์กนกพจน์ จันทร์ภิวัฒน์ นายแพทย์ชำนาญการ งานโรคทางเดินอาหาร โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบัน โรคมะเร็งถือว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ60,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 8 ราย โดยมีสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก จากสถิติมะเร็งตับฯ คือการตายอันดับ1 พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับที่ 3 ของเพศหญิง
สาเหตุของโรคมะเร็งตับ
ปัจจุบันมะเร็งตับพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุสำคัญมาจาก
- ไวรัสตับอักเสบบี
- ไวรัสตับอักเสบซี
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่
- ภาวะอ้วน ไขมันพอกตับ หรือเบาหวาน
อาการของโรคมะเร็งตับ
โรคมะเร็งตับมักไม่มีสัญญาณหรืออาการบ่งบอกในระยะแรก จนพัฒนาถึงขั้นแสดงอาการจึงจะสังเกตได้ดังนี้ คือ
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไม่อยากอาหาร รู้สึกอิ่มแม้รับประทานไปเพียงเล็กน้อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บช่องท้องส่วนบน โดยมักจะปวดบริเวณด้านขวา
- มีอาการบวมที่ช่องท้องหรือคลำพบก้อนใต้ชายโครงด้านขวา เนื่องจากตับโต
- คลำพบก้อนที่ชายโครงด้านซ้ายเนื่องจากม้ามโต ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน)
- อุจจาระอาจมีสีซีดลง อ่อนแรงและเหนื่อยล้าอาการคันตามร่างกาย และไข้เรื้อรัง
อันตรายของโรคมะเร็งตับ
“ตับ” เป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษและของเสีย ผลิตน้ำดีในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สร้างและเก็บสะสมแป้งและไขมันเพื่อเป็นพลังงาน รักษาสมดุลในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุดซึ่งมักเกิดจากการที่ตับอักเสบพัฒนาอักเสบพัฒนาไปเป็นตับแข็งและเซลล์ตับแข็งพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งตับ
ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแพร่กระจาย และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ของโรคมะเร็งตับ ซึ่งเป็นระยะที่ยากต่อการรักษา
หากตรวจพบช้ามีโอกาสเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือนทั้งนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยมีอาการแสดง กว่าจะได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็มักอยู่ในระยะท้ายของโรคแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องรู้เท่าทัน หมั่นตรวจเช็ก ดูแลสุขภาพตัวเองและคนใกล้ชิด
การตรวจหามะเร็งตับ
การวินิจฉัยก่อนที่จะสาย การตรวจมะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธี คือ
- การตรวจเลือดเพื่อตรวจมะเร็งตับ เป็นวิธีตรวจหาค่าโปรตีนที่ผลิตจากเนื้องอกตับ สามารถตรวจหามะเร็งตับในผู้ป่วยได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีค่ามะเร็งตับ (AFP) สูงกว่าปกติ
- การถ่ายภาพตับ การวินิจฉัยด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือซีทีสแกน (CT scan) หรือเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
- การเจาะชิ้นเนื้อตับ ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างจากก้อนที่สงสัยที่ตับเพื่อส่งตรวจเพิ่มเติมว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ ในกรณีที่ผลตรวจการถ่ายภาพและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ระบุแน่นอนแล้วว่าเป็นมะเร็งตับก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจอีก
การรักษาโรคมะเร็งตับ
แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่ทำได้ โดยพิจารณาจากสุขภาพของผู้ป่วย ระยะของโรคมะเร็งตับ ขนาดของก้อนมะเร็ง จำนวนของก้อนมะเร็ง ค่าการทำงานของตับ โดยมีวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้
- การผ่าตัด ในระยะเริ่มแรก เมื่อเนื้องอกยังมีขนาดเล็กและอยู่ในส่วนเล็ก ๆ ของตับ การรักษาสามารถทำได้โดยการผ่าตัดเอาเนื้อส่วนที่มีมะเร็งออก หรือตัดตับบางส่วน
- การผ่าตัดเปลี่ยนตับ วิธีนี้สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับระยะเริ่มแรกที่มีเนื้องอกขนาดเล็กและมีจำนวนไม่มาก
- รังสีรักษา การรักษาด้วยการฉายรังสีพลังงานสูง เช่น รังสีเอกซเรย์และโปรตอนตรงไปยังเซลล์เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้องอกหดตัวเล็กลง
- เคมีบำบัด การให้ยารับประทานหรือฉีดยาฆ่าเซลล์มะเร็งไปยังหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดง
- Ablative Therapy การฆ่าเซลล์มะเร็งโดยการฉีดสารเข้าไปที่เนื้อร้ายโดยตรง สารที่ใช้ฉีดอาจเป็นความร้อน เลเซอร์ กรด หรือแอลกอฮอล์ชนิดพิเศษ หรืออาจใช้คลื่นวิทยุก็ได้การให้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เป็นวิธีการใช้ยาเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ โดยเจาะจงกับเซลล์ที่มีความผิดปกติมากขึ้นกว่าการทำเคมีบำบัดทั่วไป
การป้องกันโรคมะเร็งตับ
เราสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ
โรคตับแข็งที่สัมพันธ์กับมะเร็งตับการป้องกันมะเร็งตับจึงควรลดปัจจัยที่นำไปสู่โรคตับแข็งด้วย เช่น
- งดดื่มแอลกอฮอล์
- หมั่นออกกำลังกาย
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไปโดยรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- ลดปริมาณไขมันที่บริโภค
- ลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี ด้วยการฉีดวัคซีน ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงการติดต่อเชื้อทั้ง 2 ชนิดจากผู้อื่นทำได้โดยการสร้างสุขอนามัยที่ดี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี ไม่ใช้เข็มฉีดยา หรือเข็มที่ใช้สักลายตามร่างกายร่วมกับผู้อื่น
ทั้งนี้ มะเร็งตับไม่ใช่โรคไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ นอกจากการดูแลสุขภาพด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ แล้วนั้น
การตรวจสุขภาพเป็นประจำคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการตรวจไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งตับได้เป็นอย่างดี