ในภาวะที่โลกเต็มไปด้วย มลภาวะ และไวรัสโควิด 19 ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก การเตรียมร่างกายเราให้พร้อม จึงเป็นทางเลือกนึง ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ ปรับพฤติกรรมการนอน เพิ่มการออกกำลังทางกาย และเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ซึ่งทางองค์การอาหาร การเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำว่าควรกินผักและผลไม้เป็นประจำ สลับสับเปลี่ยนชนิดให้ได้อย่างน้อย 400 กรัมต่อคนต่อวัน เนื่องจากวิตามินในผลไม้หลากสีเหล่านี้ จัดอยู่ในกลุ่มสารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างความแข็งเกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกันที่มีตามธรรมชาติของเรา ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นาทีนี้ต้องประโยชน์ดีๆ จากผักและผลไม้
ผักและผลไม้นั้น ถือเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย เต็มเปี่ยมไปด้วยสารพฤกษาเคมีต่างๆ (Phytonutrients or Phytochemicals) มักพบอยู่ตามเม็ดสีของพืช วิตามิน และแร่ธาตุ ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดจนยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ได้
นอกจากนี้ ผักและผลไม้มีใยอาหาร ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร และการขับถ่าย ซึ่งลำไส้นั้นถือเป็นที่อาศัยของของเซลล์ภูมิคุ้มกันกว่า 70% จึงทำให้สุขภาพของลำไส้มีความสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเราเพื่อต่อสู้กับโรคต่างๆ
ผักผู้กู้โรค เสริมกำลังภูมิคุ้มกัน
- ผักสีเขียว บร็อคโคลี่ ผักโขม และ ผักใบที่มีสีเขียวจัดๆ มี สารคลอโรฟิลด์ (Chlorophyll) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านโรคมะเร็ง มีแร่ธาตุ วิตามิน และไฟเบอร์สูง
- ผักสีเหลือง ฟักทอง ข้าวโพดเหลือง ดอกดาวเรือง มี สารลูทีน (Lutein) ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกิดขึ้นกับจอประสาทตา
- ผักสีเหลืองส้ม และส้มแดง ได้แก่ แครอท มะเขือพริกหวาน มี สารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย บำรุงสายตา
- ผักสีแดง อย่างพริกแดง มะเขือเทศ หัวบีทรูท มีสารไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทาน ชะลอความแก่ เสริมให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรง
- ผักสีม่วงแดง และสีม่วงน้ำเงิน เช่น ข้าวไรส์เบอร์รี่ กะหล่ำปลีสีม่วง แครอทสีม่วง และ มันสีม่วง มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) มีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ในร่างกาย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตัน
- ผัก-ผลไม้สีขาว เช่น กระเทียม เห็ด ขิง หอมใหญ่ หัวไชเท้า มีสารอัลลิซิน (Allicin) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิต และโรคหลอดเลือดหัวใจได้ และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ผลไม้ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน
ผลไม้เองก็ไม้น้อยหน้า พกพาเอาวิตามินที่มีประโยชน์ มากมายโดยเฉพาะ ในยามที่เราต้องต่อสู้กับเชื้อโรค วิตามินซี (Ascobic Acid) เป็นวิตามินที่ร่างกายเราไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ต้องได้รับจากการกินอาหารเท่านั้น
ซึ่งวิตามินซีได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากกว่า มีส่วนช่วยในการ ป้องกัน และลดความรุนแรงของโรคหวัด จากคุณสมบัติที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค โรคภูมิแพ้ โรคที่มาจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ได้
ผลไม้แทบทุกชนิดที่มีรสเปรี้ยวจะมีวิตามินซีในปริมาณมาก ทั้งองุ่น ส้ม มะนาวสับปะรด แอปเปิ้ล เก๋ากี้ และลูกเบอร์รี่ชนิดต่างๆ นอกจากนี้ผักใบเขียวหลายชนิดก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน เช่น คะน้า มะรุม ปวยเล้ง และบล็อกโครีเป็นต้น
กินได้สัดส่วน 400 กรัมต่อคนต่อวัน
แนะนำให้กินผักและผลไม้ให้ได้ตามส่วนที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือที่ 400 กรัม ต่อคนต่อวัน
- แบ่งเป็นผักวันละ 6 ทัพพี (ผักที่ปรุงสุก จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50 กรัม ต่อ 1 ทัพพี)
- ผลไม้ 2-3 ส่วน ต่อวัน (ผลไม้ 1 ส่วนจะมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม)
เลือกผักที่มีใยอาหาร สูง กลาง ต่ำ และเลือกผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของตัวเอง สลับหมุนเวียนชนิดผัก และผลไม้ ให้หลากหลาย
หรือหากไม่มีเวลา หรือทำอาหารไม่เป็น การทานน้ำผัก และผลไม้ ปั่น หรือเสริมด้วยการดื่มน้ำผักและผลไม้ 100% ก็เป็นทางเลือกนึงที่สะดวกและง่ายมากขึ้น
เติมภูมิคุ้มกัน ต้องจัดให้ครบสูตร
นอกจากการกินผักผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำ ก็มีส่วนในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน เลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เลือกสถานที่ปลอดภัย อากาศถ่ายเทสะดวก มีแสงแดดส่องถึง เช่นสนามหน้าบ้าน ระเบียง หรือ บริเวณริมประตู หน้าต่าง ทำอย่างน้อย 30-40 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์
อีกสิ่งนึงที่ไม่ควรมองข้าม และควรให้ความสำคัญคือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากมีงานวิจัยมากมายแสดงว่า ร่างกายเรานั้น จะสร้างระบบภูมิต้านทานขึ้นมาในระหว่างที่เราหลับสนิท นอนหลับอย่างมีคุณภาพให้ได้ 7-8 ชม.ต่อวัน และควรลดความเครียดทำใจให้สบาย เพื่อเป็นการลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายแล้วเตรียมพร้อมทั้งร่างกาย และจิตใจ สู้โรคไปด้วยกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.lovefitt.com/