การรักษาขึ้นอยู่กับอาการและอายุของผู้ป่วยแพทย์อาจจะแนะนำให้ทานยาเพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารในระยะเบื้องต้น
1. ยาระดับที่ 1 ยาลดกรด (Antacids) หรือยาลดการผลิตกรด (H2-BLOCKERS) มักจะถูกใช้ก่อน ยาชนิดนี้ช่วยทำให้กรดไม่ไหลย้อนเข้าหลอดอาหารมักจะใช้ในการรักษาผู้ป่วยเด็กเนื่องจากเป็นยาน้ำ เช่น ชื่อสามัญ (ชื่อทางการค้า)
- cimetidine (Tagamet)
- ranitidine (Zantac)
- famotidine (Pepcid)
- nizatidine (Axid)
*ยาทุกชนิดจะมี 2 ชื่อเสมอ คือ ชื่อสามัญ และชื่อการค้า (ยี่ห้อ-Brand) ยาที่มีชื่อสามัญเดียวกันถือว่าเป็นยาชนิดเดียวกัน เช่น พาราเซตามอล
เป็นชื่อสามัญของยา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อและราคาต่างกัน
2. ยาระดับที่ 2 ยาที่ทำให้หยุดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร คือ ยาในกลุ่ม Proton-Pump Inhibitors (PPIs) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการผลิตกรดของกระเพาะอาหารหรือไม่มีการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ยาประเภทนี้มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีรายงานผลข้างเคียงว่า อาจเกิดการท้องผูก คลื่นไส้ และปวดศีรษะ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น
- esomeprazole (Nexium)
- omeprazole (Prilosec)
- lansoprazole (Prevacid)
- rabeprazole (Aciphex)
- pantoprazole (Protonix)
3. ยาระดับที่ 3 คือ prokinetic agents ยาในกลุ่ม Prokinetic agents ทำหน้าที่ช่วยทำให้หูรูดกระเพาะอาหารปิดได้สนิทขึ้นเพื่อทำให้ไม่เกิดภาวะไหลย้อน ยาในกลุ่มนี้มักจะใช้ร่วมกันกับยาในกลุ่มที่ 1 หรือยาลดกรด ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
- metoclopramide (Reglan)
- cisapride (Propulsid)
- erythromycin (Dispertab, Robimycin)
- bethanechol (Duvoid, Urecholine)
มีการรายงานถึงผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงในเด็กและผู้ใหญ่จากการใช้ยา metoclopramide และ cisapride ผลข้างเคียงทางจิตคือ ภาวะสับสนกังวล ท้องเสีย คลื่นไส้ ยาในกลุ่มนี้มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาชนิดอื่น ซึ่งผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังทานยาชนิดอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ นอกจากการใช้ยาแล้วยังมีวิธีอื่นที่จะใช้ลดอาการที่เกิดจากภาวะไหลย้อนได้
โดยการปฏิบัติดังนี้
- รับประทานอาหารในปริมาณครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง
- นอนให้ศีรษะสูง 6-8 นิ้ว โดยใช้ท่อนไม้รองพื้นเตียงบริเวณด้านหัวเตียงที่ศีรษะนอนทับ การใช้หมอนหนุนให้สูงขึ้นจะไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากทำให้ลำตัวพับงอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มช็อกโกแลต กาแฟ อาหารที่มีไขมันหรือกรดสูง น้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
- หากอาการไม่รุนแรงนัก การออกกำลังกายโดยการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องก็จะช่วยให้การบีบรัดของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้นวิธีสุดท้ายที่จะใช้ในการรักษา คือ การผ่าตัด ซึ่งเป็นการแก้ไขทางกายภาพที่บริเวณหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเพื่อเพิ่มแรงกดดันที่บริเวณส่วนล่างของหลอดอาหาร ทำให้ลดภาวะไหลย้อนกลับลง
สิ่งที่ควรจำ
- ภาวะไหลย้อน (GER) เกิดจากสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลเข้าสู่หลอดอาหาร
- ภาวะไหลย้อน (GER) เกิดขึ้นเป็นปกติในทารกและเด็กและจะหายไปเองเมื่อเติบโตขึ้น
- ภาวะไหลย้อน (GER) อาจทำให้เกิดการอาเจียน ไอ เสียงแหบ และเจ็บปวดขณะกลืน
- การรักษาขึ้นอยู่กับอาการและอายุของผู้ป่วย มีวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยา และการผ่าตัด
ขอขอบคุณ https://www.bangkokhospital.com