คือ ภาวะการติดเชื้อของตับที่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยภาวะนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อตับ เช่น มะเร็งตับ ตับแข็ง และตับวาย เป็นต้น โดยการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวจะมาจากสารที่หลั่งออกมาจากร่างกายและสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้ แต่สำหรับในประเทศไทยมักพบว่ามีการติดเชื้อโดยมีมารดาเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (คลิกรับโปรแกรมตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบและคัดกรองโรคตับ)
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไวรัสตับอักเสบบี
- การติดต่อผ่านทางของเหลวที่ออกมาจากร่างกาย เช่น สารคัดหลั่ง เลือด น้ำเชื้อ น้ำเหลือง เป็นต้น โรคนี้จะติดต่อผ่านคนสู่คนก็ต่อเมื่อของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อผ่านเข้าสู่ร่างกายของบุคคลอื่น โดยจะติดต่อผ่านทางบาดแผล รอยแผล หรือผิวหนังถลอก
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น เข็มฉีดยา แปรงสีฟัน มีดโกน เป็นต้น
- การติดต่อจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสสู่ทารกในครรภ์
ชนิดของโรคไวรัสตับอักเสบบี
- ชนิดเฉียบพลัน เมื่อได้รับเชื้อจะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการพวกนี้จะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ และร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ผู้ป่วยส่วนมากจึงไม่กลับไปเป็นโรคนี้อีก
- ชนิดเรื้อรัง มักได้รับเชื้อไวรัสมาตั้งแต่เด็ก และเกิดเป็นโรคเรื้อรังและอาจส่งผลให้กลายเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับต่อไปได้
ความแตกต่างระหว่างไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี
- ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นไวรัสที่ติดต่อกันผ่านการรับประทานอาหาร เช่น น้ำดื่ม ผัก ผลไม้ เป็นต้น โดยโรคไวรัสชนิดนี้จะสามารถหายเองได้โดยไม่เป็นพาหะ และไม่เป็นเรื้อรัง
- ไวรัสตับอักเสบซี สาเหตุการติดเชื้อจะคล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่มีระยะฟักตัวของเชื้อน้อยกว่า ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง และยังทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังอีกด้วย
- ไวรัสตับอักเสบดี เป็นเชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในเชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบในกลุ่มผู้เสพยาเสพติดที่ฉีดสารเสพติดเข้าไปในเส้นเลือด โดยอาการจะทำให้ผู้ป่วยเกิดตับอักเสบซ้ำซ้อนขึ้นมาด้วย
- ไวรัสตับอักเสบอี เป็นเชื้อไวรัสที่มักอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น หมู กวาง เป็นต้น สามารถติดต่อได้ผ่านทางการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ มักพบมากในประเทศอินเดียและกัมพูชา
แม้เชื้อไวรัสตับอักเสบจะมีหลายชนิดทั้งเอ บี ซี ดี และอี แต่เหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับไวรัสตับอักเสบชนิดบีเพราะเป็ฺนไวรัสที่ทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังตับแข็ง และร้ายแรงจนอาจกลายเป็นโรคมะเร็งตับได้ในที่สุด
อาการของไวรัสตับอักเสบบี
ผู้ป่วยโรคนี้มักแสดงอาการออกมาหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณ 1-3 เดือน โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ดังนี้
- มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการอ่อนแรงและปวดตามข้อ
- เบื่ออาหาร
- ตาและผิวมีสีเหลือง
- ปวดบริเวณช่องท้อง
- ปัสสาวะมีสีเข้ม
การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- การรับวัคซีนเพื่อป้องกัน โดยเด็กจะต้องรับ 3 เข็ม คือ ตอนแรกเกิด ตอนอายุ 1-2 เดือน และ6-18 เดือน ตามลำดับ หากเป็นผู้ใหญ่ และไม่เคยรับวัคซีนควรรับวัคซีนเพื่อป้องกันด้วย
- ไม่ควรใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น เช่น ต่างหู แปรงสีฟัน เป็นต้น
- ต้องป้องกันทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ป้องกันทุกครั้งหากต้องสัมผัสสารที่หลั่งออกมาจากร่างกาย เช่น ใส่ถุงมือ
- รักษาความสะอาดของสิ่งของรอบตัว
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
- ไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยสามารถหายจากโรคนี้ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลตนเอง เช่น อาศัยอยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ทานยาปฏิชีวนะ และทานยาแก้ปวดกรณีปวดท้อง
- ไวรัสตับอักเสบบีระยะเรื้อรัง ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดโอกาสแพร่เชื้อใส่ผู้อื่น โดยสามารถรักษาได้ด้วยการรับยาต้านไวรัสตามคำแนะนำจากแพทย์
ภาวะแทรกซ้อน
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าโรคภาวะตับอักเสบบีสามารถพัฒนากลายเป็นโรคร้ายได้ ดังนี้
- ตับแข็ง มีโอกาสเกิดขึ้นได้ประมาณ 25 % โดยตับจะเกิดพังพืดขึ้นส่งผลต่อการทำงานของตับ
- ตับวายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่ตับหยุดการทำงาน และสามารถส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่มีการปลูกถ่ายตับ
- มะเร็งตับ เมื่อมีการพัฒนาเป็นมะเร็งตับสามารถสังเกตอาการของผู้ป่วยได้ คือจะมีน้ำหนักลด ตาเหลืองผิวเหลือง และเบื่ออาหาร
- ภาวะที่เกี่ยวกับเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง และการติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น
ขอขอบคุณ https://www.petcharavejhospital.com