อากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หนาวได้วันสองวัน สักพักก็กลับมาร้อนอีกครั้ง ร่างกายของคนที่ไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกายหรือพักผ่อนที่เพียงพอ ก็จะเริ่มต้านทานไม่ไหว มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัด ไอ หรือเจ็บคอ เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยจนเบื่อที่จะกินยา หากคุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่แพ้อากาศในทุกๆเช้า รู้สึกรำคาญหรืออารมณ์เสียที่ไม่สามารถทำตัวเองให้แข็งแรงได้ เราอยากจะแนะนำวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกันอาการนี้ได้ดี วิธีที่ว่านี้ก็คือ “การกดจุด” นั่นเองค่ะ
หากใครคนไหนกำลังมีอาการเช่นนี้อยู่ คุณคงต้องลองวิธีบำบัดร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติอย่างการกดจุดดู เพราะเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาแผนหนึ่งที่เน้นการบำบัดโดยไร้สารเคมี หากคุณทำได้อย่างต่อเนื่องอย่างถูกวิธี โอกาสที่คุณจะแข็งแรงและปลอดจากอาการภูมิแพ้ก็สามารถเกิดขึ้นได้
โรค “แพ้อากาศ” เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในผู้ป่วยวัยเด็กและวัยรุ่น โรคภูมิแพ้นี้มีจะเป็นอาการเรื้อรังที่เป็นแล้วเป็นอีก ไม่หายขาด และสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โรคนี้เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หรือนั่นหมายความว่าหากมีพ่อแม่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกๆจะป่วยตามก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการที่จะปฏิเสธอาการป่วยเช่นนี้ ลองดูวิธีการกดจุดดูสิค่ะ น่าจะช่วยคุณได้มาก
คนที่แพ้อากาศ มักจะมีอาการคันในจมูก คันลามไปถึงในลำคอ เพดานปาก ตา หรือหู นอกเหนือจากนั้นยังมีอาการจามติดต่อกันอีกหลายๆครั้ง พรอมกับมีน้ำมูกใสๆตามมาด้วย อาการเช่นนี้จะทำให้คุณหายใจไม่สะดวก หูอื้อ หรือแน่นหน้าอก ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปีหรือเพียงบางฤดูกาลก็ได้แล้วแต่คน แต่ถ้าเป็นในฤดูฝนหรือฤดูหนาวอาการเช่นนี้ยิ่งจะเป็นมากขึ้น และยากที่จะแก้ไข อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้นแค่เพียงแค่บางเวลา ไม่ใช่อาการที่เป็นตลอดทั้งวัน ซึ่งจะน้อยหรือมากก็ต้องแล้วแต่สิ่งเร้าหรือการดูแลร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน
นอกเหนือจากการพยายามทำร่างกายให้อบอุ่น ทานอาหารที่มีวิตามินในการป้องกันโรค หรือทานยารักษาโรคแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่เราอยากจะแนะนำในวันนี้ ซึ่งก็คือ “การรักษาด้วยการกดจุด” นั่นเอง การรักษาด้วยการกดจุดมีวิธีดังต่อไปนี้
1. สงบสติอารมณ์ ค่อยๆหายใจเข้าและออกอย่างช้าๆ และลึกๆ ให้เต็มปอด
2. จัดท่าทางในการนวดให้สะดวก โดยการนั่งในท่าทางที่ผ่อนคลายและใช้ศอกท้าวไว้กับโต๊ะ จะช่วยให้สามารถนวดกดจุดได้ดีมากยิ่งขึ้น
3. เริ่มต้นกดจุดด้วยการใช้นิ้วชี้กดลงไปด้านข้างของปีกจมูกทั้งสองข้าง ดันขึ้นบนจนถึงด้านข้างสันจมูก กึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง จากนั้นลากนิ้วไปจนสองนิ้วมือชิดกัน ดันขึ้นบนผ่านหน้าผากไปจนถึงไรผม ทำเช่นนี้วนไปเรื่อยๆหลายๆรอบจนรู้สึกว่าจมูกร้อนขึ้น
4. ท่าต่อมาให้ใช้นิ้วโป้งของมือทั้งสองข้างกดนวดบริเวณต้นคอที่จุด “เฟิงฉือ (fengchi)” ตำแหน่งดังภาพ นวดเบาๆจนรู้สึกว่าบริเวณนี้อุ่นขึ้น
การนวดกดจุดด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้เลือดลมบริเวณจมูกไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้อาการแพ้อากาศค่อยๆลดลงจนหายไปได้ในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการกดจุดคงไม่สามารถเห็นผลได้ในวันสองวัน แต่ต้องทำติดต่อกันนานเป็นเดือน จึงจะสามารถเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวคุณเองได้
นอกจากนี้ การกดจุดให้ได้ผลดียังต้องมีการใช้วิธีอื่นผสมผสานและผลักดันกันไป หนึ่งในวิธีที่จะช่วยเสริมให้การกดจุดได้ผลดีมากขึ้น ก็คือ “การดื่มน้ำขิงต้มกับพุทราจีน“ โดยใส่น้ำตาลทรายแดงด้วยเล็กน้อย เครื่องดื่มชนิดนี้มีสรรพคุณในการแก้ภูมิแพ้ หากดื่มเป็นประจำจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคนี้ได้
การรักษาด้วยศาสตร์แพทย์จีนหรือแพทย์แผนปัจจุบัน จำเป็นต้องใช้วิธีป้องกันและรักษาควบคู่กัน การป้องกันที่ว่านี้ คือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากทราบว่าตนเองแพ้สิ่งใดก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เช่น การหลีกเลี่ยงน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง การเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบๆ รวมไปถึงการทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ เช่น การหาผ้ามาคลุมไหล่หรือพันคอเมื่อต้องอยู่ในสภาวะอากาศที่เย็น การไม่เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่ต่ำเกิน การไม่อาบน้ำตอนดึก เป็นต้น นอกจากนี้ ก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนเร็ว และไม่ควรนอนตื่นสาย เป็นต้น
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น การรักษาโรคภูมิแพ้ไม่ใช่การรักษาที่จะหายได้แบบทันถ่วงที แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติตัวอย่างสม่ำเสมอ จึงจะทำให้การรักษาอาการที่เป็นอยู่สามารถเห็นผลดีอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว หากทำได้เช่นนี้ อาการภูมิแพ้ก็คงทำอะไรคุณไม่ได้อีกต่อไป และไม่มีทางที่คุณจะป่วยได้ง่ายๆอย่างแน่นอน และหากคุณรู้จักป้องกันตัวเองอย่างรอบด้าน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งนอกเหนือจากจะป้องกันโรคภูมิแพ้ได้แล้ว ยังช่วยป้องกันโรคอื่นๆที่จะเกิดตามมาเนื่องด้วยความอ่อนแอของร่างกายได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.สุขภาพน่ารู้.com/